1. บทความ
  2. อยากหน้าใส…ใช้ครีมวิตามิน E อย่างเดียวพอไหม หรือต้องกินเสริมด้วย ?

อยากหน้าใส…ใช้ครีมวิตามิน E อย่างเดียวพอไหม หรือต้องกินเสริมด้วย ?

ครีมวิตามิน E และ วิตามิน E แบบเม็ด พร้อมข้อความที่ระบุว่า “อยากหน้าใส ใช้ครีมวิตามิน E อย่างเดียวพอไหม”

28 พฤศจิกายน 2568

หลายคนที่อยากให้ผิวใสขึ้นอย่างรวดเร็ว มักมีคำถามว่า ทาครีมวิตามิน E อย่างเดียวเพียงพอไหม หรือควรกินวิตามิน E เสริมควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าเดิม โดยเฉพาะในผู้ที่อยากดูแลผิวอย่างจริงจัง ซึ่งในทางที่ดี ก่อนจะตัดสินใจว่าควรทาครีมวิตามิน E อย่างเดียวหรือต้องเสริมแบบกินเข้าไปด้วย เราควรทำความเข้าใจก่อนว่า วิตามิน E ทำงานอย่างไรต่อผิว และ แบบทา กับ แบบกิน แตกต่างกันอย่างไร

วิตามิน E ตัวช่วยคู่ผิวสวย

วิตามิน E มีบทบาทสำคัญในฐานะ “สารต้านอนุมูลอิสระ” หรือ Antioxidant ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด มลภาวะ ควันบุหรี่ ความเครียด ไปจนถึงการเผาผลาญของร่างกายเอง นอกจากนี้วิตามิน E ยังมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและชะลอความเสื่อมของผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้วิตามิน E เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น มีสุขภาพดี ผิวนุ่ม และผิวหน้าใส

แต่วิตามิน E เป็นสิ่งที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เช่น ถั่วและเมล็ดพืช น้ำมันพืช ผักใบเขียว ผลไม้บางชนิด และอาหารทะเล นอกจากนี้เรายังมีทางเลือกรับประทานวิตามิน E ในรูปแบบอาหารเสริมได้ด้วย

ครีมวิตามิน E กับวิตามิน E แบบกินต่างกันอย่างไร

วิตามิน E ทั้ง 2 ประเภทมีคุณสมบัติในการช่วยลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ ทำให้ในด้านความงาม ทั้งคู่สามารถช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และช่วยฟื้นฟูผิวที่โทรมจากมลภาวะและแสงแดดได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน และดูกระจ่างใส

โดยครีมวิตามิน E จะทำงานได้อย่างเฉพาะจุด ผ่านการซึมลงผิวหนังบนหน้าโดยตรง และสร้างฟิล์มบาง ๆ มาป้องกันผิวจากมลภาวะ พร้อมป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ โดยครีมวิตามิน E จะไม่ส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย 

ในขณะที่วิตามิน E แบบกินจะถูกดูดซึมผ่านลำไส้และร่างกายจะนำไปใช้บำรุงส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย โดยนอกจากการบำรุงผิวพรรณ การรับประทานวิตามิน E ยังช่วยดูแลอวัยวะต่าง ๆ ด้วย เช่น

  • ปกป้องเซลล์ทั่วร่างกายจากอนุมูลอิสระ : สารอนุมูลอิสระสามารถสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างเซลล์ ส่งผลให้ระบบทำงานในร่างกายเสื่อมสภาพ วิตามิน E จึงทำหน้าที่ป้องกันการทำลายเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ และรักษาเสถียรภาพของเยื่อหุ้มเซลล์ในอวัยวะสำคัญ เช่น ผิวหนัง ดวงตา ตับ ทำให้อวัยวะเหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย : วิตามิน E ช่วยให้ T-cell เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อได้มีประสิทธิภาพขึ้น ลดอาการอักเสบ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว

ครีมวิตามิน E และ วิตามิน E แบบกิน แบบไหนดีกว่ากัน ?

วิตามิน E ทั้ง 2 ชนิดต่างมีประสิทธิภาพในการดูแลคนละระดับ ดังนั้น คำตอบที่ดีที่สุด คือ ทั้งสองแบบไม่ได้มาทดแทนกันแต่มีผลต่อร่างกายคนละแบบ และส่งเสริมการทำงานกันได้ดีมาก 

โดยที่ครีมวิตามิน E จะเน้นการดูแลผิวจากภายนอก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิวหน้าโดยตรง เช่น ผิวชุ่มชื้นขึ้น แห้งตึงน้อยลง ผิวดูอิ่มน้ำ รอยหมองคล้ำหรือลายเส้นบาง ๆ บนใบหน้าดูลดเลือนลง ส่วนวิตามิน E แบบกินช่วยซัปพอร์ตให้ผิวแข็งแรงจากด้านใน ให้เซลล์ในร่างกายฟื้นฟูได้ดีขึ้นในระยะยาว

ดังนั้น หากต้องการดูแลผิวหน้าอย่างตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่เห็นชัด การใช้ครีมวิตามิน E ที่เหมาะกับสภาพผิวคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการใช้ดูแลผิว แต่หากต้องการเสริมความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในหรือต้องการดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วย การใส่ใจอาหารการกิน เลือกอาหารที่มีวิตามิน E สูง หรือใช้วิตามิน E เสริมในปริมาณที่เหมาะสมภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ก็จะเสริมการดูแลได้ดียิ่งขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้วิตามิน E

แม้ว่าวิตามิน E จะดีต่อผิวและสุขภาพ แต่การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียได้ เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะเหมือนวิตามิน C จึงมีโอกาสสะสมจนเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดท้อง หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ หากได้รับปริมาณเกินความจำเป็น ดังนั้น แนะนำไม่ให้บริโภคเกิน 1,500 IU หรือปริมาณไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

ส่วนครีมวิตามิน E ที่ใช้สำหรับทาภายนอก ส่วนใหญ่ถือว่ามีความปลอดภัย แต่ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมากหรือเคยแพ้ส่วนผสมในสกินแคร์ ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้เสมอ หากไม่มีอาการระคายเคือง แดง หรือคัน จึงค่อยเริ่มใช้ทั่วใบหน้า เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ปรับตัวและลดโอกาสเกิดการแพ้ลง

อยากหน้าใสอย่างปลอดภัยด้วยวิตามิน E เริ่มต้นอย่างไรดี ?

ต่อไปเรามาดู Steps ที่เหมาะสมของการดูแลผิวให้แลดูใสด้วยวิตามิน E ทั้งภายในและภายนอกไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงที่สุด ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากขั้นตอนต่อไปนี้

  1. เลือกครีมวิตามิน E ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อเติมความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

  2. ในแต่ละวันพยายามเลือกรับวิตามิน E จากอาหารธรรมชาติให้เพียงพอ เช่น จากถั่ว ธัญพืช หรืออะโวคาโด เป็นต้น

  3. หากต้องการเสริมด้วยวิตามิน E แบบเม็ด ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

  4. ดูแลพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อผิว เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำ และทาครีมกันแดดเป็นประจำ

หนึ่งในครีมวิตามิน E ที่มีคุณภาพและมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยเภสัชกรของโรงพยาบาลศิริราชคือ ศิริราช มอยซ์เจอร์ ริช ครีม (SIRIRAJ MOISTURE RICH CREAM) ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ วิตามิน E มากถึง 5% ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายจากแสงแดด รวมถึงให้ความชุ่มชื้นยาวนานและไม่เหนียวเหนอะหนะ

สรุป : ดูแลผิวหน้าให้ดูกระจ่างใสด้วยวิตามิน E เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หากต้องการมีผิวหน้าที่ใสอย่างเป็นธรรมชาติ การใช้ครีมวิตามิน E ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และช่วยให้ผิวหน้าแลดูกระจ่างใส โดยเริ่มจากการเลือกครีมวิตามิน E ที่ปลอดภัยและอ่อนโยน เช่น ศิริราช มอยซ์เจอร์ ริช ครีม (SIRIRAJ MOISTURE RICH CREAM) ที่มีวิตามิน E เข้มข้น 5% ควบคู่กับการรับวิตามิน E ผ่านอาหารหรืออาหารเสริมในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยปกป้องเซลล์ผิวและระบบภูมิคุ้มกันในระบบร่างกาย ให้ผิวใสแข็งแรงได้ทั้งภายนอกและภายใน

สามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ของศิริราชบำรุงเวชเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.sirirajbrv.com

Facebook : Sirirajbumrungvej

หรือโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : 096-893-0062

แชร์: